MLPRegressor
และ XGBRegressor
เป็นโมเดลการทำนายแบบรีเกรสชัน แต่ใช้วิธีการและอัลกอริธึมที่แตกต่างกัน ดังนี้:
1. อัลกอริธึมและวิธีการ
- MLPRegressor (Multi-Layer Perceptron Regressor):
- ใช้อัลกอริธึมแบบโครงข่ายประสาทเทียม (Neural Network) โดยเฉพาะแบบฟีดฟอร์เวิร์ด
- เรียนรู้ผ่านการปรับค่าของน้ำหนักด้วยวิธี Backpropagation และการหาค่า Gradient Descent
- มีการแบ่งเป็นเลเยอร์หลายชั้น: เลเยอร์อินพุต เลเยอร์ซ่อน และเลเยอร์เอาต์พุต
- เหมาะกับการทำนายที่มีความซับซ้อนและความสัมพันธ์แบบไม่เป็นเชิงเส้น
- XGBRegressor (Extreme Gradient Boosting Regressor):
- เป็นการรวมกันของต้นไม้การตัดสินใจ (Decision Tree) หลาย ๆ ต้นผ่านเทคนิค Gradient Boosting
- สร้างต้นไม้หลายต้นแบบลำดับเพื่อปรับปรุงค่าผิดพลาดของต้นไม้ก่อนหน้า
- เหมาะสำหรับข้อมูลเชิงตารางที่มีความสัมพันธ์เชิงเส้นและไม่เชิงเส้นผสมกัน
2. กระบวนการฝึกสอน
- MLPRegressor:
- ต้องการการตั้งค่าพารามิเตอร์ที่หลากหลาย เช่น จำนวนเลเยอร์ซ่อน จำนวนโหนดต่อเลเยอร์ อัตราการเรียนรู้ เป็นต้น
- ใช้เวลาฝึกสอนนาน เนื่องจากต้องฝึกหลายรอบ (Epoch)
- XGBRegressor:
- การฝึกสอนแบบเป็นลำดับโดยการสร้างต้นไม้ทีละต้น
- ตั้งค่าพารามิเตอร์น้อยกว่า และมักจะใช้เวลาในการฝึกน้อยกว่าโครงข่ายประสาทเทียม
3. การจัดการกับข้อมูล
- MLPRegressor:
- ต้องการให้ข้อมูลถูกสเกลให้อยู่ในช่วงที่เหมาะสมก่อน เช่น การทำ Standardization
- เหมาะกับข้อมูลที่มีความซับซ้อนสูงหรือมีมิติสูง
- XGBRegressor:
- จัดการกับข้อมูลที่ไม่ได้สเกลได้ดี เนื่องจากใช้ต้นไม้ในการตัดสินใจ
- สามารถทำงานได้ดีกับข้อมูลที่มีฟีเจอร์แบบผสม เช่น ข้อมูลเชิงตัวเลขและข้อมูลเชิงหมวดหมู่
4. ความสามารถในการตีความผลลัพธ์
- MLPRegressor:
- ยากต่อการตีความผลลัพธ์ เนื่องจากเป็นโมเดลแบบ “Black Box”
- ต้องใช้เทคนิคพิเศษในการตีความ เช่น SHAP หรือ LIME
- XGBRegressor:
- ง่ายกว่าที่จะตีความ เนื่องจากสามารถดูค่า Feature Importance ของแต่ละฟีเจอร์ได้
- เหมาะสำหรับการใช้งานที่ต้องการเข้าใจว่าฟีเจอร์ใดมีผลต่อการทำนาย
5. การป้องกันการฟิตเกิน (Overfitting)
- MLPRegressor:
- มีโอกาสเกิด Overfitting ง่ายหากไม่มีการใช้งานเทคนิคการป้องกัน เช่น การทำ Dropout หรือ Regularization
- XGBRegressor:
- มีการป้องกัน Overfitting ในตัว เช่น L1 และ L2 Regularization
- สามารถควบคุมความลึกของต้นไม้และจำนวนต้นไม้เพื่อป้องกัน Overfitting
สรุป:
- MLPRegressor เหมาะกับงานที่ซับซ้อนและต้องการโมเดลที่มีความยืดหยุ่นสูง ในขณะที่ XGBRegressor เหมาะกับข้อมูลเชิงตารางที่ต้องการความแม่นยำสูงและการตีความที่เข้าใจง่าย
การเลือกใช้ขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูลและความต้องการของงานนั้น ๆ หากมีข้อมูลที่มีโครงสร้างซับซ้อนมาก อาจจะใช้ MLPRegressor แต่หากเป็นข้อมูลเชิงตาราง XGBRegressor อาจจะทำงานได้ดีกว่า
ถ้านำมาทำนายราคาหุ้น ควรใช้ตัวไหน
การเลือกใช้ระหว่าง MLPRegressor
และ XGBRegressor
ในการทำนายราคาหุ้นขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูลและเป้าหมายของการทำนาย โดยสามารถพิจารณาจากปัจจัยดังต่อไปนี้:
1. ลักษณะข้อมูลและความซับซ้อนของตลาดหุ้น
- หากข้อมูลมีความซับซ้อนและเป็นข้อมูลที่มีรูปแบบไม่แน่นอน เช่น มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หรือมีการขึ้น-ลงแบบไม่มีรูปแบบที่ชัดเจน โมเดลแบบโครงข่ายประสาทเทียม เช่น
MLPRegressor
อาจจะเหมาะสม เนื่องจากสามารถเรียนรู้รูปแบบที่ซับซ้อนได้ดี - ในขณะที่
XGBRegressor
เหมาะกับข้อมูลเชิงโครงสร้างหรือตารางที่มีความชัดเจนและมีรูปแบบที่สามารถคาดการณ์ได้ง่ายกว่า เช่น มีฟีเจอร์ที่เกี่ยวข้องชัดเจน หรือการทำนายระยะสั้น
2. การตีความผลลัพธ์
- หากต้องการตีความผลลัพธ์หรือดูความสำคัญของฟีเจอร์ในการทำนาย
XGBRegressor
อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เพราะสามารถแสดงค่า Feature Importance ได้ ซึ่งช่วยให้สามารถเข้าใจว่าฟีเจอร์ใดมีผลต่อการทำนายมากที่สุด - สำหรับ
MLPRegressor
การตีความผลลัพธ์จะทำได้ยากกว่า เนื่องจากเป็นโมเดลแบบ “Black Box” ที่ยากต่อการเข้าใจกลไกภายใน
3. การป้องกัน Overfitting
- การทำนายราคาหุ้นมีความเสี่ยงที่จะเกิด Overfitting เนื่องจากข้อมูลมีความผันผวนสูง
XGBRegressor
มีเทคนิคการป้องกัน Overfitting ในตัว เช่น การทำ L1 และ L2 Regularization และการจำกัดความลึกของต้นไม้ - ในกรณีของ
MLPRegressor
การป้องกัน Overfitting ต้องใช้เทคนิคเพิ่มเติม เช่น การทำ Dropout หรือใช้ Regularization แต่จะมีความซับซ้อนในการปรับพารามิเตอร์
4. ประสิทธิภาพในการทำงาน
XGBRegressor
มักจะให้ผลลัพธ์ที่รวดเร็วกว่า เนื่องจากการฝึกโมเดลมีประสิทธิภาพสูงกว่าการฝึกโครงข่ายประสาทเทียมMLPRegressor
อาจต้องใช้เวลาในการฝึกมากกว่า เนื่องจากโครงข่ายประสาทเทียมมีโครงสร้างที่ซับซ้อน
สรุป:
- หากคุณต้องการโมเดลที่สามารถตีความได้ง่าย ป้องกัน Overfitting ได้ดี และเหมาะกับการใช้งานข้อมูลเชิงโครงสร้าง
XGBRegressor
เป็นตัวเลือกที่ดี - หากคุณต้องการโมเดลที่สามารถเรียนรู้รูปแบบที่ซับซ้อนและไม่เป็นเชิงเส้น หรือมีข้อมูลที่หลากหลายและซับซ้อนมาก
MLPRegressor
อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
อาจเริ่มต้นด้วยการทดลองใช้ทั้งสองโมเดลและทำการปรับแต่งพารามิเตอร์เพื่อดูว่าโมเดลใดให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าตามชุดข้อมูลของคุณเอง
MLPRegressor
และ SVR
เป็นโมเดลการเรียนรู้ของเครื่องที่แตกต่างกัน โดยแต่ละโมเดลมีจุดเด่นและข้อจำกัดเฉพาะ ดังนี้:
1. หลักการทำงาน
- MLPRegressor (Multilayer Perceptron Regressor): เป็นโครงข่ายประสาทเทียมแบบหลายชั้น (Deep Neural Network) ที่ประกอบด้วยชั้น Input, Hidden และ Output โดยสามารถใช้หลายชั้นซ้อนกันเพื่อเรียนรู้รูปแบบที่ซับซ้อนในข้อมูลได้ดี โมเดลนี้จะใช้การเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) ในการปรับน้ำหนักของโครงข่ายผ่านกระบวนการ Backpropagation เพื่อหาค่าผลลัพธ์ที่เหมาะสมที่สุด
- SVR (Support Vector Regressor): เป็นวิธีการสร้างเส้นโค้งหรือเส้นตรงเพื่อทำนายค่า โดยพยายามหาช่วงขอบของข้อมูลที่มีความกว้างที่สุด (Margin) และใช้ Kernel Trick เพื่อทำการแปลงข้อมูลให้อยู่ในมิติที่สูงขึ้น ช่วยให้สามารถแยกข้อมูลที่ไม่เป็นเชิงเส้นได้ดี
2. ความซับซ้อนของการเรียนรู้
- MLPRegressor: สามารถเรียนรู้รูปแบบที่ซับซ้อนได้ดี และสามารถใช้หลายชั้น (Hidden Layers) เพื่อเพิ่มความสามารถในการเรียนรู้ของโมเดล อย่างไรก็ตาม การเพิ่มจำนวนชั้นหรือจำนวนโหนดมากๆ อาจทำให้โมเดล Overfitting ได้ถ้าไม่มีการ Regularization ที่ดี
- SVR: โดยปกติจะไม่ซับซ้อนเท่า MLPRegressor ในการตั้งค่า แต่ต้องเลือกค่า Hyperparameters ต่างๆ เช่น ค่าของ C (ความสมดุลระหว่างความถูกต้องกับระยะขอบ), ค่า Epsilon (ขนาดของ Margin) และชนิดของ Kernel ที่ใช้ (เช่น Linear, Polynomial, RBF) เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
3. ประสิทธิภาพในการจัดการกับข้อมูล
- MLPRegressor: สามารถทำงานได้ดีเมื่อข้อมูลมีความซับซ้อนหรือมีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของข้อมูลเป็นอย่างมาก และสามารถปรับปรุงผลลัพธ์ด้วยการเพิ่มชั้นซ่อนหรือจำนวนโหนดในชั้นต่างๆ อย่างไรก็ตาม โมเดลนี้ต้องการการฝึกฝนที่มากกว่าทั้งในด้านเวลาและทรัพยากรคอมพิวเตอร์
- SVR: ทำงานได้ดีเมื่อข้อมูลมีขนาดเล็กถึงขนาดกลาง และเหมาะสมกับปัญหาที่สามารถหา Hyperplane ที่เหมาะสมได้ การใช้ Kernel Trick ยังช่วยให้สามารถจัดการกับข้อมูลที่ไม่เป็นเชิงเส้นได้ดี แต่ SVR อาจไม่ทำงานได้ดีเมื่อต้องเจอกับข้อมูลที่มีขนาดใหญ่มากหรือมีคุณลักษณะจำนวนมาก
4. การตีความผลลัพธ์
- MLPRegressor: ยากต่อการตีความเนื่องจากโครงข่ายประสาทเทียมเป็นโมเดลแบบ Black Box ซึ่งยากที่จะอธิบายว่าเหตุใดจึงได้ค่าผลลัพธ์ที่ออกมา
- SVR: มีความสามารถในการตีความผลลัพธ์ได้ดีกว่าเนื่องจากสามารถดูการกระจายของเส้นขอบ (Margin) และดูน้ำหนักของฟีเจอร์ต่างๆ ได้ แต่ก็ยังไม่สามารถตีความได้ดีเท่าโมเดลแบบ Linear Regression
คำแนะนำสำหรับการทำนายราคาหุ้น:
- หากข้อมูลมีความซับซ้อนมากและเป็นข้อมูลที่เปลี่ยนแปลงได้ยาก ควรใช้
MLPRegressor
เนื่องจากสามารถจัดการกับรูปแบบที่ซับซ้อนได้ดี - แต่ถ้าข้อมูลมีจำนวนตัวอย่างไม่มากและต้องการโมเดลที่ตีความง่ายกว่า การใช้
SVR
อาจจะเหมาะสมกว่า
ตารางเปรียบเทียบระหว่าง MLPRegressor
, XGBRegressor
, และ SVR
มีดังนี้:
คุณสมบัติ | MLPRegressor | XGBRegressor | SVR |
---|---|---|---|
ลักษณะของโมเดล | โครงข่ายประสาทเทียม (Neural Network) แบบหลายชั้น | การตัดสินใจแบบต้นไม้ที่มี Gradient Boosting | การวิเคราะห์เวกเตอร์สนับสนุนแบบถดถอย |
การทำงาน | เรียนรู้ข้อมูลด้วยการปรับน้ำหนักผ่านการ Backpropagation | สร้างต้นไม้หลายต้นและบูสติ้งผลลัพธ์เพื่อปรับปรุงความแม่นยำ | สร้างเส้นโค้งที่ดีที่สุดภายในช่วง Margin เพื่อทำการทำนาย |
ความสามารถในการจัดการข้อมูลไม่เชิงเส้น | ดีมาก | ดีมาก | ดี (ต้องการการตั้งค่า Kernel ที่เหมาะสม) |
ประสิทธิภาพการทำงานกับข้อมูลขนาดใหญ่ | ทำงานได้ดีหากปรับขนาดโครงข่ายประสาทและการ Regularization | ดีมากสำหรับข้อมูลขนาดใหญ่และมีฟีเจอร์จำนวนมาก | ประสิทธิภาพลดลงหากข้อมูลมีขนาดใหญ่มาก |
การปรับ Hyperparameters | ซับซ้อนเนื่องจากต้องปรับหลายค่าพร้อมกัน เช่น Learning Rate, จำนวนโหนดในชั้นซ่อน | ต้องปรับค่าหลายค่า เช่น Learning Rate, n_estimators, max_depth | ต้องปรับค่า C, epsilon, gamma และ Kernel Trick |
การตีความผลลัพธ์ | ยาก (Black Box) | ปานกลาง (สามารถดู Feature Importance ได้) | ตีความง่ายกว่าด้วยการดู Margin และน้ำหนักฟีเจอร์ |
ความไวต่อค่าผิดพลาด (Outliers) | ไวต่อค่าผิดพลาดมาก | ไว้ต่อค่าผิดพลาดน้อย เนื่องจากการบูสติ้งช่วยลดผลกระทบ | ไวต่อค่าผิดพลาด ขึ้นอยู่กับการตั้งค่า Kernel |
ความเร็วในการฝึกฝน | ช้า (โดยเฉพาะถ้ามีหลายชั้นซ่อน) | เร็วกว่า MLP สำหรับข้อมูลขนาดใหญ่ | ช้าเมื่อข้อมูลมีจำนวนตัวอย่างมาก |
การประยุกต์ใช้ในตลาดหุ้น | เหมาะสมเมื่อข้อมูลมีลักษณะซับซ้อนและต้องการการวิเคราะห์รูปแบบที่ซับซ้อน | เหมาะสมเมื่อข้อมูลมีขนาดใหญ่และต้องการการตัดสินใจที่มีความแม่นยำสูง | เหมาะสมสำหรับข้อมูลที่มีความซับซ้อนปานกลางและตัวอย่างไม่มาก |
สรุป:
MLPRegressor
เหมาะกับการเรียนรู้ข้อมูลที่ซับซ้อนหรือมีลักษณะไม่เชิงเส้นมาก แต่ต้องใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์สูงXGBRegressor
เหมาะกับข้อมูลขนาดใหญ่และต้องการความแม่นยำสูง มีความยืดหยุ่นในการปรับปรุงความแม่นยำผ่านการ BoostingSVR
เหมาะกับข้อมูลขนาดเล็กถึงปานกลาง และสามารถทำงานได้ดีเมื่อตั้งค่า Hyperparameters อย่างเหมาะสม
การเลือกใช้งานขึ้นอยู่กับลักษณะของข้อมูลและความต้องการในการปรับจูนโมเดลให้เหมาะสม