เพื่อหาคำตอบว่ากราฟใดแสดงสัญญาณที่ผ่านการควอนไทซ์ 4 ระดับและการเข้ารหัส 2 บิตจากสัญญาณดิจิทัล “11 01 00 10 11” และการควอนไทซ์ “01 00 10 11 01” ให้ทำตามขั้นตอนดังนี้:
ขั้นตอนที่ 1: วิเคราะห์โจทย์
- การควอนไทซ์ 4 ระดับ: แบ่งแอมพลิจูด (0 ถึง 11) ออกเป็น 4 ระดับ:
- ระดับ 0: 0 ถึง 2.75
- ระดับ 1: 2.75 ถึง 5.5
- ระดับ 2: 5.5 ถึง 8.25
- ระดับ 3: 8.25 ถึง 11
- การเข้ารหัส 2 บิต:
- ระดับ 0: 00 (ค่าเฉลี่ย 1.375)
- ระดับ 1: 01 (ค่าเฉลี่ย 4.125)
- ระดับ 2: 10 (ค่าเฉลี่ย 6.875)
- ระดับ 3: 11 (ค่าเฉลี่ย 9.625)
- สัญญาณดิจิทัลที่ให้มา: “11 01 00 10 11”
- เป้าหมายคือแปลงสัญญาณ “11 01 00 10 11” เป็นแอมพลิจูดควอนไทซ์แล้วเทียบกับกราฟ
ขั้นตอนที่ 2: แปลงสัญญาณดิจิทัลเป็นแอมพลิจูด
จากรหัส 2 บิต:
- 11 → ระดับ 3 → 9.625
- 01 → ระดับ 1 → 4.125
- 00 → ระดับ 0 → 1.375
- 10 → ระดับ 2 → 6.875
- 11 → ระดับ 3 → 9.625
ดังนั้น แอมพลิจูดควอนไทซ์ตามเวลา (t=0 ถึง t=5) คือ:
- t=0 ถึง t=1: 9.625
- t=1 ถึง t=2: 4.125
- t=2 ถึง t=3: 1.375
- t=3 ถึง t=4: 6.875
- t=4 ถึง t=5: 9.625
ขั้นตอนที่ 3: เทียบกับกราฟ
- กราฟ ก) เป็นเส้นโค้งต่อเนื่อง ไม่ใช่การควอนไทซ์ (ผิด)
- กราฟ ข) แสดงระดับควอนไทซ์ประมาณ 9, 5, 3, 6, 9 ซึ่งใกล้เคียงกับ 9.625, 4.125, 1.375, 6.875, 9.625 (ถูก)
- กราฟ ค) รูปแบบไม่ตรงกับลำดับ
- กราฟ ง) ระดับและการเปลี่ยนแปลงไม่ตรงกับลำดับ
คำตอบสุดท้าย:
กราฟที่ถูกต้องคือ ข) ค่ะ เพราะตรงกับระดับแอมพลิจูดควอนไทซ์ 9.625, 4.125, 1.375, 6.875, 9.625 จากสัญญาณ “11 01 00 10 11” ค่ะ
วิเคราะห์ตัวเลือก:
- a) ASCII: ชุดอักขระ ASCII รองรับเฉพาะตัวอักษรภาษาอังกฤษ (7 หรือ 8 บิต) ไม่สามารถรองรับตัวอักษรไทยได้ (ผิด)
- b) EBCDIC: ชุดอักขระ EBCDIC ใช้ในระบบเมนเฟรมของ IBM รองรับตัวอักษรภาษาอังกฤษเป็นหลัก ไม่รองรับภาษาไทย (ผิด)
- c) EUC: EUC (Extended Unix Code) เป็นชุดอักขระที่ออกแบบมาเพื่อรองรับภาษาในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น จีน และเกาหลี แต่ไม่รองรับภาษาไทยโดยตรง (ผิด)
- d) Unicode: Unicode เป็นชุดอักขระสากลที่รองรับตัวอักษรจากทุกภาษาทั่วโลก รวมถึงภาษาไทย (ถูก)
คำตอบสุดท้าย:
ชุดอักขระที่ใช้สำหรับตัวอักษรไทยคือ d) Unicode ค่ะ เพราะ Unicode รองรับตัวอักษรไทยและภาษาอื่น ๆ ได้อย่างครอบคลุม
สรุปโจทย์:
-
สถานะมี 1 → 2 → 3 → 4 (วนรอบ)
-
เดินได้ทั้งตามเข็มนาฬิกา และทวนเข็มนาฬิกา
-
เริ่มที่สถานะ 1
-
ดำเนินการ 2 รอบ ตามกฎ:
-
เอา “เลขสถานะปัจจุบัน” × 11 แล้วเอา “เศษจากการหาร 3”
-
ถ้าเศษ = 0 → เดินไป “ตามเข็มนาฬิกา 1 สถานะ”
-
ถ้าเศษ = 1 → เดินไป “ทวนเข็มนาฬิกา 1 สถานะ”
-
ถ้าเศษ = 2 → เดินไป “ตามเข็มนาฬิกา 2 สถานะ”
เริ่มคำนวณ:
รอบที่ 1
- ตอนนี้อยู่ที่สถานะ 1
- เอา 1×11=111 \times 11 = 111×11=11
- เอา 11mod 3=211 \mod 3 = 211mod3=2 (เศษ 2)
- กฎ: ถ้าเศษ 2 → เดิน “ตามเข็มนาฬิกา 2 สถานะ”
- ตามเข็มจาก 1 → 2 → 3
ตอนนี้อยู่ที่สถานะ 3
รอบที่ 2
- ตอนนี้อยู่ที่สถานะ 3
- เอา 3×11=333 \times 11 = 333×11=33
- เอา 33mod 3=033 \mod 3 = 033mod3=0 (เศษ 0)
- กฎ: ถ้าเศษ 0 → เดิน “ตามเข็มนาฬิกา 1 สถานะ”
- ตามเข็มจาก 3 → 4
ตอนนี้อยู่ที่สถานะ 4
ดังนั้นคำตอบสุดท้าย คือ สถานะ 4
ตอบ d) 4
โจทย์ถามว่า:
“ค่าที่ไม่ซ้ำกัน ซึ่งถูกกำหนดไว้ต่อเนื่องกัน เพื่อระบุตำแหน่งของข้อมูลหรือคำสั่งในหน่วยความจำ” คืออะไร?
วิเคราะห์ตัวเลือก:
a) ที่อยู่ (address)
→ “Address” คือ ตำแหน่งที่อยู่ ของข้อมูลในหน่วยความจำ (Memory Address)
→ เป็นค่าที่ ไม่ซ้ำกัน และ เรียงต่อเนื่องกัน เพื่อระบุตำแหน่งของข้อมูล/คำสั่ง
b) ตัวนับ (counter)
→ “Counter” หมายถึง ตัวแปรที่เพิ่มค่าทีละ 1 เช่นนับจำนวนรอบ ไม่ได้ใช้ระบุตำแหน่งในหน่วยความจำ
c) ดัชนี (index)
→ “Index” เป็นหมายเลขลำดับ เช่นตำแหน่งของข้อมูลใน Array แต่ ไม่ใช่ตำแหน่งในหน่วยความจำจริงๆ (มันเป็นการอ้างอิง)
d) ตัวชี้ (pointer)
→ “Pointer” คือ ค่าที่เก็บ address (ตำแหน่งของข้อมูล) แต่ตัว pointer ไม่ใช่ address เอง เป็นแค่ตัวแปรที่เก็บ address
ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้อง คือ:
a) ที่อยู่ (address)
ขั้นตอนที่ 1: วิเคราะห์คำว่า “ความน่าเชื่อถือ (reliability)”
- ในบริบทของวิศวกรรมและเทคโนโลยี ความน่าเชื่อถือ (reliability) หมายถึง ความสามารถของระบบหรืออุปกรณ์ในการทำงานได้อย่างถูกต้องตามที่คาดหวังในช่วงเวลาที่กำหนด โดยปราศจากความล้มเหลว (failure)
ขั้นตอนที่ 2: วิเคราะห์ตัวเลือก
- a) ทำงานโดยสมบูรณ์และปราศจากข้อผิดพลาด (foolproof)
ความหมายนี้เน้นว่าไม่มีข้อผิดพลาดเลย ซึ่งเป็นแนวคิดที่เข้มงวดเกินไปสำหรับ “reliability” เพราะในความเป็นจริง ระบบที่เชื่อถือได้อาจยังมีโอกาสล้มเหลวได้บ้าง แต่ต้องอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ (ผิด) - b) ทำงานได้อย่างปลอดภัยเมื่อเกิดความล้มเหลว (fail-safe)
“Fail-safe” หมายถึงระบบที่ออกแบบมาให้อยู่ในสภาวะที่ปลอดภัยเมื่อเกิดความล้มเหลว แต่ไม่ใช่คำจำกัดความของ reliability โดยตรง เพราะ reliability เน้นที่การทำงานได้ตามปกติ ไม่ใช่การจัดการเมื่อล้มเหลว (ผิด) - c) ทนต่อความล้มเหลว (fault tolerance)
“Fault tolerance” หมายถึงความสามารถในการทำงานต่อไปได้แม้จะมีข้อผิดพลาดบางส่วน ซึ่งเป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับ reliability แต่ไม่ใช่คำจำกัดความโดยตรง เพราะ reliability เน้นที่โอกาสของการไม่ล้มเหลวมากกว่า (ผิด) - d) ทำงานได้ตามที่คาดหวังโดยมีความล้มเหลวในระดับที่ยอมรับได้ (fail soft)
“Fail soft” หมายถึงระบบที่ยังทำงานได้แม้จะมีความล้มเหลวบางส่วน แต่ในระดับที่ยอมรับได้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ reliability ที่วัดจากความน่าจะเป็นที่ระบบจะทำงานได้ตามที่คาดหวังในระยะเวลาหนึ่ง โดยยอมรับความล้มเหลวได้ในระดับที่ต่ำ (ถูก)