เตรียมสอบ ITPE -ข้อสอบเก่าปี 2024

เพื่อหาคำตอบว่ากราฟใดแสดงสัญญาณที่ผ่านการควอนไทซ์ 4 ระดับและการเข้ารหัส 2 บิตจากสัญญาณดิจิทัล “11 01 00 10 11” และการควอนไทซ์ “01 00 10 11 01” ให้ทำตามขั้นตอนดังนี้:

ขั้นตอนที่ 1: วิเคราะห์โจทย์

  • การควอนไทซ์ 4 ระดับ: แบ่งแอมพลิจูด (0 ถึง 11) ออกเป็น 4 ระดับ:
    • ระดับ 0: 0 ถึง 2.75
    • ระดับ 1: 2.75 ถึง 5.5
    • ระดับ 2: 5.5 ถึง 8.25
    • ระดับ 3: 8.25 ถึง 11
  • การเข้ารหัส 2 บิต:
    • ระดับ 0: 00 (ค่าเฉลี่ย 1.375)
    • ระดับ 1: 01 (ค่าเฉลี่ย 4.125)
    • ระดับ 2: 10 (ค่าเฉลี่ย 6.875)
    • ระดับ 3: 11 (ค่าเฉลี่ย 9.625)
  • สัญญาณดิจิทัลที่ให้มา: “11 01 00 10 11”
  • เป้าหมายคือแปลงสัญญาณ “11 01 00 10 11” เป็นแอมพลิจูดควอนไทซ์แล้วเทียบกับกราฟ

ขั้นตอนที่ 2: แปลงสัญญาณดิจิทัลเป็นแอมพลิจูด

จากรหัส 2 บิต:

  • 11 → ระดับ 3 → 9.625
  • 01 → ระดับ 1 → 4.125
  • 00 → ระดับ 0 → 1.375
  • 10 → ระดับ 2 → 6.875
  • 11 → ระดับ 3 → 9.625

ดังนั้น แอมพลิจูดควอนไทซ์ตามเวลา (t=0 ถึง t=5) คือ:

  • t=0 ถึง t=1: 9.625
  • t=1 ถึง t=2: 4.125
  • t=2 ถึง t=3: 1.375
  • t=3 ถึง t=4: 6.875
  • t=4 ถึง t=5: 9.625

ขั้นตอนที่ 3: เทียบกับกราฟ

  • กราฟ ก) เป็นเส้นโค้งต่อเนื่อง ไม่ใช่การควอนไทซ์ (ผิด)
  • กราฟ ข) แสดงระดับควอนไทซ์ประมาณ 9, 5, 3, 6, 9 ซึ่งใกล้เคียงกับ 9.625, 4.125, 1.375, 6.875, 9.625 (ถูก)
  • กราฟ ค) รูปแบบไม่ตรงกับลำดับ
  • กราฟ ง) ระดับและการเปลี่ยนแปลงไม่ตรงกับลำดับ

คำตอบสุดท้าย:

กราฟที่ถูกต้องคือ ข) ค่ะ เพราะตรงกับระดับแอมพลิจูดควอนไทซ์ 9.625, 4.125, 1.375, 6.875, 9.625 จากสัญญาณ “11 01 00 10 11” ค่ะ

วิเคราะห์ตัวเลือก:

  • a) ASCII: ชุดอักขระ ASCII รองรับเฉพาะตัวอักษรภาษาอังกฤษ (7 หรือ 8 บิต) ไม่สามารถรองรับตัวอักษรไทยได้ (ผิด)
  • b) EBCDIC: ชุดอักขระ EBCDIC ใช้ในระบบเมนเฟรมของ IBM รองรับตัวอักษรภาษาอังกฤษเป็นหลัก ไม่รองรับภาษาไทย (ผิด)
  • c) EUC: EUC (Extended Unix Code) เป็นชุดอักขระที่ออกแบบมาเพื่อรองรับภาษาในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่น จีน และเกาหลี แต่ไม่รองรับภาษาไทยโดยตรง (ผิด)
  • d) Unicode: Unicode เป็นชุดอักขระสากลที่รองรับตัวอักษรจากทุกภาษาทั่วโลก รวมถึงภาษาไทย (ถูก)

คำตอบสุดท้าย:

ชุดอักขระที่ใช้สำหรับตัวอักษรไทยคือ d) Unicode ค่ะ เพราะ Unicode รองรับตัวอักษรไทยและภาษาอื่น ๆ ได้อย่างครอบคลุม

สรุปโจทย์:

  • สถานะมี 1 → 2 → 3 → 4 (วนรอบ)

  • เดินได้ทั้งตามเข็มนาฬิกา และทวนเข็มนาฬิกา

  • เริ่มที่สถานะ 1

  • ดำเนินการ 2 รอบ ตามกฎ:

  • เอา “เลขสถานะปัจจุบัน” × 11 แล้วเอา “เศษจากการหาร 3”

  • ถ้าเศษ = 0 → เดินไป “ตามเข็มนาฬิกา 1 สถานะ”

  • ถ้าเศษ = 1 → เดินไป “ทวนเข็มนาฬิกา 1 สถานะ”

  • ถ้าเศษ = 2 → เดินไป “ตามเข็มนาฬิกา 2 สถานะ”


เริ่มคำนวณ:

รอบที่ 1

  • ตอนนี้อยู่ที่สถานะ 1
  • เอา 1×11=111 \times 11 = 111×11=11
  • เอา 11mod 3=211 \mod 3 = 211mod3=2 (เศษ 2)
  • กฎ: ถ้าเศษ 2 → เดิน “ตามเข็มนาฬิกา 2 สถานะ”
  • ตามเข็มจาก 1 → 2 → 3
    ตอนนี้อยู่ที่สถานะ 3

รอบที่ 2

  • ตอนนี้อยู่ที่สถานะ 3
  • เอา 3×11=333 \times 11 = 333×11=33
  • เอา 33mod 3=033 \mod 3 = 033mod3=0 (เศษ 0)
  • กฎ: ถ้าเศษ 0 → เดิน “ตามเข็มนาฬิกา 1 สถานะ”
  • ตามเข็มจาก 3 → 4
    ตอนนี้อยู่ที่สถานะ 4

ดังนั้นคำตอบสุดท้าย คือ สถานะ 4

:white_check_mark: ตอบ d) 4

โจทย์ถามว่า:

“ค่าที่ไม่ซ้ำกัน ซึ่งถูกกำหนดไว้ต่อเนื่องกัน เพื่อระบุตำแหน่งของข้อมูลหรือคำสั่งในหน่วยความจำ” คืออะไร?

วิเคราะห์ตัวเลือก:

a) ที่อยู่ (address) :white_check_mark:

→ “Address” คือ ตำแหน่งที่อยู่ ของข้อมูลในหน่วยความจำ (Memory Address)

→ เป็นค่าที่ ไม่ซ้ำกัน และ เรียงต่อเนื่องกัน เพื่อระบุตำแหน่งของข้อมูล/คำสั่ง

b) ตัวนับ (counter)

→ “Counter” หมายถึง ตัวแปรที่เพิ่มค่าทีละ 1 เช่นนับจำนวนรอบ ไม่ได้ใช้ระบุตำแหน่งในหน่วยความจำ

c) ดัชนี (index)

→ “Index” เป็นหมายเลขลำดับ เช่นตำแหน่งของข้อมูลใน Array แต่ ไม่ใช่ตำแหน่งในหน่วยความจำจริงๆ (มันเป็นการอ้างอิง)

d) ตัวชี้ (pointer)

→ “Pointer” คือ ค่าที่เก็บ address (ตำแหน่งของข้อมูล) แต่ตัว pointer ไม่ใช่ address เอง เป็นแค่ตัวแปรที่เก็บ address

ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้อง คือ:

:white_check_mark: a) ที่อยู่ (address)

ขั้นตอนที่ 1: วิเคราะห์คำว่า “ความน่าเชื่อถือ (reliability)”

  • ในบริบทของวิศวกรรมและเทคโนโลยี ความน่าเชื่อถือ (reliability) หมายถึง ความสามารถของระบบหรืออุปกรณ์ในการทำงานได้อย่างถูกต้องตามที่คาดหวังในช่วงเวลาที่กำหนด โดยปราศจากความล้มเหลว (failure)

ขั้นตอนที่ 2: วิเคราะห์ตัวเลือก

  • a) ทำงานโดยสมบูรณ์และปราศจากข้อผิดพลาด (foolproof)
    ความหมายนี้เน้นว่าไม่มีข้อผิดพลาดเลย ซึ่งเป็นแนวคิดที่เข้มงวดเกินไปสำหรับ “reliability” เพราะในความเป็นจริง ระบบที่เชื่อถือได้อาจยังมีโอกาสล้มเหลวได้บ้าง แต่ต้องอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ (ผิด)
  • b) ทำงานได้อย่างปลอดภัยเมื่อเกิดความล้มเหลว (fail-safe)
    “Fail-safe” หมายถึงระบบที่ออกแบบมาให้อยู่ในสภาวะที่ปลอดภัยเมื่อเกิดความล้มเหลว แต่ไม่ใช่คำจำกัดความของ reliability โดยตรง เพราะ reliability เน้นที่การทำงานได้ตามปกติ ไม่ใช่การจัดการเมื่อล้มเหลว (ผิด)
  • c) ทนต่อความล้มเหลว (fault tolerance)
    “Fault tolerance” หมายถึงความสามารถในการทำงานต่อไปได้แม้จะมีข้อผิดพลาดบางส่วน ซึ่งเป็นแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับ reliability แต่ไม่ใช่คำจำกัดความโดยตรง เพราะ reliability เน้นที่โอกาสของการไม่ล้มเหลวมากกว่า (ผิด)
  • d) ทำงานได้ตามที่คาดหวังโดยมีความล้มเหลวในระดับที่ยอมรับได้ (fail soft)
    “Fail soft” หมายถึงระบบที่ยังทำงานได้แม้จะมีความล้มเหลวบางส่วน แต่ในระดับที่ยอมรับได้ ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดของ reliability ที่วัดจากความน่าจะเป็นที่ระบบจะทำงานได้ตามที่คาดหวังในระยะเวลาหนึ่ง โดยยอมรับความล้มเหลวได้ในระดับที่ต่ำ (ถูก)

โจทย์นี้ถามเกี่ยวกับกระบวนการที่ใช้ในการตรวจสอบซอฟต์แวร์ผ่าน software license โดยใช้ product ID เพื่อยืนยันว่าซอฟต์แวร์นั้นถูกต้องตามกฎหมาย

ขั้นตอนที่ 1: วิเคราะห์โจทย์

  • Software license: ใบอนุญาตที่ระบุสิทธิ์ในการใช้งานซอฟต์แวร์
  • Product ID: รหัสเฉพาะที่ใช้ระบุตัวซอฟต์แวร์ เพื่อตรวจสอบว่าเป็นของแท้หรือไม่
  • กระบวนการนี้เกี่ยวข้องกับการยืนยันตัวตนของซอฟต์แวร์ เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้มีสิทธิ์ใช้งานตามใบอนุญาต

ขั้นตอนที่ 2: วิเคราะห์ตัวเลือก

  • a) การเปิดใช้งาน (Activation)
    การเปิดใช้งาน (Activation) คือกระบวนการที่ผู้ใช้ต้องยืนยัน product ID หรือรหัสใบอนุญาตกับเซิร์ฟเวอร์ของผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ เพื่อตรวจสอบว่าเป็นซอฟต์แวร์ที่ถูกต้องตามกฎหมาย และอนุญาตให้ใช้งานได้ (ถูก)
  • b) การประมวลผลแบบกลุ่ม (Cloud computing)
    Cloud computing หมายถึงการประมวลผลผ่านเซิร์ฟเวอร์ระยะไกล ซึ่งไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการตรวจสอบใบอนุญาตหรือ product ID (ผิด)
  • c) การสตรีมมิง (Streaming)
    Streaming หมายถึงการส่งข้อมูลแบบต่อเนื่อง เช่น การสตรีมวิดีโอหรือเสียง ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบใบอนุญาต (ผิด)
  • d) การแยกส่วน (Fragmentation)
    Fragmentation หมายถึงการที่ข้อมูลถูกแบ่งออกเป็นส่วนย่อย ๆ ในระบบจัดเก็บข้อมูล ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบใบอนุญาต (ผิด)

ขั้นตอนที่ 3: เลือกตัวเลือกที่เหมาะสม

  • เฉพาะ Activation (ตัวเลือก a) ที่ตรงกับกระบวนการตรวจสอบซอฟต์แวร์ผ่าน product ID เพื่อยืนยันใบอนุญาต

คำตอบสุดท้าย:

กระบวนการที่ใช้ในการตรวจสอบซอฟต์แวร์ผ่าน product ID คือ a) การเปิดใช้งาน (Activation)

โจทย์นี้ถามเกี่ยวกับเทคนิคที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือในการจัดเก็บข้อมูล โดยต้องการเลือกเทคนิคที่เหมาะสม

ขั้นตอนที่ 1: วิเคราะห์โจทย์

  • โจทย์ถามถึงเทคนิคที่ช่วยเพิ่มทั้ง ประสิทธิภาพ (efficiency) และ ความน่าเชื่อถือ (reliability) ในการจัดเก็บข้อมูล
  • ประสิทธิภาพ: หมายถึงการเข้าถึงข้อมูลได้เร็วขึ้น ลดความล่าช้า หรือเพิ่ม throughput
  • ความน่าเชื่อถือ: หมายถึงการป้องกันการสูญหายของข้อมูล หรือการกู้คืนข้อมูลเมื่อเกิดความล้มเหลว

ขั้นตอนที่ 2: วิเคราะห์ตัวเลือก

  • a) การจัดกลุ่ม (clustering)
    Clustering หมายถึงการจัดกลุ่มเซิร์ฟเวอร์หรือโหนดเพื่อทำงานร่วมกัน ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโดยกระจายงาน (load balancing) และเพิ่มความน่าเชื่อถือโดยการสำรองโหนด (ถ้าโหนดหนึ่งล้มเหลว อีกโหนดสามารถทำงานแทนได้) (เหมาะสม)
  • b) การสปูลลิง (spooling)
    Spooling หมายถึงการเก็บข้อมูลชั่วคราวในคิว (เช่น การพิมพ์งาน) เพื่อจัดการการทำงานที่ไม่พร้อมกัน ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในแง่ของการจัดการทรัพยากร แต่ ไม่เกี่ยวข้องกับความน่าเชื่อถือ ในการจัดเก็บข้อมูล (ผิด)
  • c) การบัฟเฟอร์ (buffering)
    Buffering หมายถึงการใช้หน่วยความจำชั่วคราวเพื่อเก็บข้อมูลระหว่างการถ่ายโอน ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพโดยลดความล่าช้า แต่ ไม่ช่วยเรื่องความน่าเชื่อถือ เพราะไม่ได้ป้องกันการสูญหายของข้อมูล (ผิด)
  • d) การมิเรอร์ (mirroring)
    Mirroring หมายถึงการทำสำเนาข้อมูลไปยังที่เก็บอื่น (เช่น RAID 1) ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือโดยป้องกันการสูญหายของข้อมูลหากดิสก์หนึ่งล้มเหลว แต่ ไม่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ เพราะไม่ได้ทำให้การเข้าถึงข้อมูลเร็วขึ้น (ในบางกรณีอาจช้าลงด้วยซ้ำเนื่องจากการเขียนข้อมูลสองครั้ง) (ผิด)

ขั้นตอนที่ 3: เลือกตัวเลือกที่ดีที่สุด

  • เฉพาะ clustering (ตัวเลือก a) ที่ช่วยทั้ง ประสิทธิภาพ (โดยการกระจายงาน) และ ความน่าเชื่อถือ (โดยการสำรองโหนด)

TCO คือ ต้นทุนรวมในการเป็นเจ้าของระบบ รวมทั้งค่า ซื้อ, ใช้งาน, ซ่อมบำรุง, สนับสนุน ฯลฯ

วิเคราะห์แต่ละข้อ:

  • (i) :x:
    ค่าจัดซื้อ “สินค้า” ไม่เกี่ยวกับ TCO ของระบบจัดการขาย
    (เน้นการจัดการสินค้า ไม่ใช่ต้นทุนของระบบ)
  • (ii) :x:
    ค่าจัดส่งสินค้า → ไม่เกี่ยวกับ TCO ของ ระบบ
    (เป็นต้นทุนเชิงโลจิสติกส์ ไม่ใช่ของระบบจัดการขาย)
  • (iii) :white_check_mark:
    ค่าบำรุงรักษาซอฟต์แวร์ = TCO แน่นอน
  • (iv) :white_check_mark:
    ค่าบำรุงรักษาฮาร์ดแวร์ = TCO เช่นกัน

:white_check_mark: คำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ d) (iii), (iv)
เพราะเป็นค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับระบบจัดการการขาย (ทั้งซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์) ซึ่งเป็นหัวใจของ TCO.

โจทย์สรุปว่า:

  • ถ้ายอดขาย “น้อยกว่า” ค่าเฉลี่ย → แสดง X
  • ถ้ายอดขาย “มากกว่าหรือเท่ากับ” ค่าเฉลี่ย → แสดง O
  • ให้เขียนสูตรสำหรับ C3 (แล้วลากลงไป)

เงื่อนไขที่ต้องทำคือ:

  • เปรียบเทียบยอดขายในเซลล์ C2 กับ ค่าเฉลี่ยของยอดขายในช่วง C2 ถึง E2
  • ต้องใช้ AVERAGE(C2:E2) เพื่อหาค่าเฉลี่ยของแถวเดียวกัน

ดังนั้นรูปแบบสูตรคือ:

plaintext

CopyEdit

IF(เซลล์ C2 < ค่าเฉลี่ยช่วง C2:E2, 'X', 'O')

เปรียบเทียบว่า ถ้า “ยอดขาย C2” น้อยกว่าค่าเฉลี่ย → X, ถ้าไม่ → O


วิเคราะห์ตัวเลือก:

  • a) IF($C2 < AVERAGE(C2:E2), ‘O’, ‘X’)
    :x: สลับ O กับ X (ผิด)
  • b) IF($C2 < AVERAGE(C2:E2), ‘X’, ‘O’)
    :white_check_mark: ถูกต้อง!
    ถ้า C2 น้อยกว่าค่าเฉลี่ย → ‘X’ / ไม่งั้น → ‘O’
  • c) IF(C2 < AVERAGE($C2:$E2), ‘O’, ‘X’)
    :x: สลับ O กับ X (ผิด)
  • d) IF(C2 < AVERAGE($C2:$E2), ‘X’, ‘O’)
    :white_check_mark: ถูกเหมือนกัน!

หมายเหตุ: ตัวเลือก (b) และ (d) ทั้งสองข้อถูกต้อง

  • ต่างกันแค่รูปแบบการล็อก $ ซึ่งในที่นี้ ไม่มีผล เพราะเป็นการเปรียบเทียบระหว่างเซลล์ในแถวเดียวกัน

:white_check_mark: ดังนั้น คำตอบที่ “ถูกต้อง” คือ:

b) IF($C2 < AVERAGE(C2:E2), ‘X’, ‘O’)
หรือ
d) IF(C2 < AVERAGE($C2:$E2), ‘X’, ‘O’)

(ตามโจทย์ที่ถาม “เหมาะสมที่จะเติม” => b) จะดูตรงที่สุด)

คำถาม:
ข้อใดอธิบายเกี่ยวกับฟังก์ชันคีย์ (Function Keys) ของเครื่องพีซีได้อย่างเหมาะสม


วิเคราะห์ตัวเลือก:

  • a) :white_check_mark: ถูกต้องที่สุด
    → ฟังก์ชันคีย์ (เช่น F1, F2, …, F12) คือ ปุ่มที่กำหนดฟังก์ชันและหน้าที่ต่าง ๆ
    → ใช้ในแอปพลิเคชัน (Application) และระบบปฏิบัติการ (OS) เช่น กด F1 เพื่อขอความช่วยเหลือ
  • b) :x:
    → พูดถึงการแสดงผลภาพ ไม่ใช่ฟังก์ชันคีย์
  • c) :x:
    → กุญแจสำหรับเข้ารหัส (encryption keys) ไม่ใช่ function keys
  • d) :x:
    → ข้อมูลที่ใช้ในฐานข้อมูล ก็ไม่เกี่ยวกับ function keys

:white_check_mark: ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ a) คือปุ่มที่ได้กำหนดฟังก์ชันและหน้าที่ต่าง ๆ ไว้สำหรับแอปพลิเคชันและ OS

คำถาม:
ข้อใดคือเทคโนโลยีที่ใช้เป็นมาตรการป้องกันการปลอมแปลงซอฟต์แวร์ในอุปกรณ์ IoT โดยมีการตรวจสอบลายเซ็นดิจิทัลของ OS, เฟิร์มแวร์ ฯลฯ ก่อนอนุญาตให้ทำงาน


วิเคราะห์ตัวเลือก:

  • a) GPU
    → หน่วยประมวลผลกราฟิก ไม่เกี่ยวกับความปลอดภัยซอฟต์แวร์
  • b) RAID
    → เทคโนโลยีเก็บข้อมูลแบบสำรอง (Redundant Array of Independent Disks) ไม่เกี่ยวกับความปลอดภัยของซอฟต์แวร์โดยตรง
  • c) :white_check_mark: Secure Boot
    → ถูกต้องที่สุด!
    → เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ ตรวจสอบลายเซ็นดิจิทัล ของ OS, เฟิร์มแวร์ ฯลฯ ก่อนบูตเครื่อง
    → ใช้ป้องกันการ ปลอมแปลงหรือฝังมัลแวร์
  • d) Reboot
    → หมายถึงการรีสตาร์ทเครื่อง ไม่ใช่มาตรการด้านความปลอดภัย

:white_check_mark: คำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ c) Secure boot


คำถาม:
ข้อใดอธิบายเกี่ยวกับ “สมาร์ตมิเตอร์ (Smart Meter)” ซึ่งเป็นอุปกรณ์ IoT ได้อย่างเหมาะสม


วิเคราะห์ตัวเลือก:

  • a)
    → กล่าวถึงการฝังในรถยนต์ / ระบบควบคุมเกม / ตรวจจับการเปลี่ยนแปลงความเร็ว
    :x: ไม่ตรงกับหน้าที่ของ Smart Meter
  • b) :white_check_mark:
    ถูกต้องที่สุด
    → สมาร์ตมิเตอร์ใช้ในบ้านหรือที่พักอาศัย เพื่อวัดการใช้ ไฟฟ้า/แก๊ส/น้ำ
    → ทำงานแบบ อัตโนมัติ, มีการส่งข้อมูลไปยังผู้ให้บริการแบบ ไร้สาย เช่นผ่านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ
    → ตรงตามนิยามของ Smart Meter ที่แท้จริง
  • c)
    → กล่าวถึงการใช้ GPS หรือการระบุตำแหน่ง เช่นในมือถือ
    :x: ไม่ใช่ลักษณะของสมาร์ตมิเตอร์
  • d)
    → กล่าวถึงเรื่องการคำนวณเส้นทาง ความเร็ว การเคลื่อนไหว
    :x: ใกล้เคียงกับ Smart Tracking มากกว่า ไม่ใช่ Smart Meter

:white_check_mark: คำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ b) ถูกติดตั้งไว้ตามบ้านหรือที่พักอาศัย…ส่งข้อมูลถึงผู้ให้บริการผ่านเครือข่ายมือถือ ฯลฯ


คำถาม:
ข้อใดกล่าวถึงเหตุผลในการใช้ “สไตล์ชีต (Style Sheet)” ในการสร้างเว็บไซต์ได้อย่างเหมาะสม


วิเคราะห์ตัวเลือก:

  • a)
    → กล่าวถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างเซิร์ฟเวอร์กับเบราว์เซอร์ (เรื่องความปลอดภัย)
    :x: ไม่เกี่ยวกับการใช้สไตล์ชีต
  • b)
    → กล่าวถึงการแจ้งเตือนการอัปเดตเว็บไซต์
    :x: ไม่เกี่ยวกับสไตล์ชีต
  • c)
    → กล่าวถึงการระบุตัวตนผู้ใช้ในเว็บไซต์
    :x: ไม่เกี่ยวกับสไตล์ชีต
  • d) :white_check_mark:
    ถูกต้องที่สุด
    → จุดประสงค์หลักของ Style Sheet (เช่น CSS) คือ
    “กำหนดรูปแบบหน้าตา (ลักษณะ) ของเว็บเพจหลาย ๆ หน้าให้เหมือนกันได้ง่าย” เช่น สี, ฟอนต์, การจัดวาง ฯลฯ
    → ช่วยทำให้เว็บไซต์ ดูมีเอกภาพ และจัดการง่าย


ตารางที่ให้มา:

  • ตาราง Sales : มี SalesNumber, CustomerNumber, ProductNumber, SalesDate, SalesAmount
  • ตาราง Customer : มี CustomerNumber, CustomerName
  • ตาราง Product : มี ProductNumber, ProductCategoryName, ProductName

ฟิลด์ Key:

  • ฟิลด์ที่ขีดเส้นใต้ คือ Primary Key
  • ฟิลด์ที่ขีดเส้นประ คือ Foreign Key

วิเคราะห์แต่ละรายการ:

  • A) รายชื่อลูกค้าที่มียอดซื้อมากกว่าจำนวนเงินที่ระบุ
    → ใช้ SalesAmount จาก Sales + ชื่อลูกค้าจาก Customer (เชื่อมผ่าน CustomerNumber)
    ทำได้ :white_check_mark:
  • B) รายการสินค้าที่หมดสต็อกในเดือนก่อนหน้า
    → “หมดสต็อก” หมายถึงข้อมูลสต็อกสินค้า ซึ่ง ไม่มี ในตาราง Product หรือ Sales ที่ให้มา (ไม่มีข้อมูลจำนวนสินค้าเลย)
    ทำไม่ได้ :x:
  • C) การจัดอันดับยอดขายจากรายการสินค้าของเดือนก่อนหน้า
    → ใช้ ProductNumber + SalesDate + SalesAmount จาก Sales และข้อมูลสินค้าใน Product
    ทำได้ :white_check_mark:

สรุป

  • A : ทำได้
  • B : ทำไม่ได้
  • C : ทำได้

ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ

:white_check_mark: ข้อ c) A, C


โจทย์นี้เกี่ยวกับการออกแบบฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (relational database) โดยให้ตาราง A และ C เป็นตารางเป้าหมาย (target business operation) และต้องการระบุว่า B คืออะไรในบริบทของการออกแบบฐานข้อมูล

ขั้นตอนที่ 1: วิเคราะห์โจทย์

  • ตาราง A และ C: เป็นตารางเป้าหมาย (target business operation) ซึ่งน่าจะหมายถึงตารางที่เก็บข้อมูลหลักของธุรกิจ เช่น ลูกค้า (Customer) หรือสินค้า (Product)
  • ตาราง B: ถูกระบุว่าเป็น entities และทำหน้าที่เชื่อมระหว่าง A และ C
  • Entities: ในบริบทของฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ หมายถึงตารางที่เก็บข้อมูลของสิ่งที่เราสนใจ (เช่น ลูกค้า, สินค้า, การขาย)
  • โจทย์ระบุว่า B เชื่อม A และ C ซึ่งบ่งบอกว่า B เป็นตารางที่จัดการความสัมพันธ์ (relationship) ระหว่าง A และ C

ขั้นตอนที่ 2: วิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างตาราง

  • หาก A และ C เป็นตารางหลัก เช่น A = Customer (ลูกค้า), C = Product (สินค้า)
  • ตาราง B ที่เชื่อม A และ C น่าจะเป็นตารางที่เก็บข้อมูลการทำธุรกรรมหรือความสัมพันธ์ เช่น การขาย (Sales) ซึ่งจะมี foreign key ที่อ้างอิงไปยัง primary key ของ A และ C
  • ตัวอย่าง:
    • A (Customer): CustomerID, CustomerName
    • C (Product): ProductID, ProductName
    • B (Sales): SalesID, CustomerID (FK), ProductID (FK), SalesDate

ตาราง B จึงเป็น entity ที่เก็บข้อมูลความสัมพันธ์ (relationship) ระหว่าง A และ C

ขั้นตอนที่ 3: วิเคราะห์ตารางในตัวเลือก

ตารางในตัวเลือกแสดงดังนี้:

A B C
a) instances ผส-กข ผก
b) instances flowchart กราฟ
c) relationships ผส-กข ผก
d) relationships flowchart ผก
  • A: ระบุว่าเป็น “instances” หรือ “relationships”
    • Instances หมายถึงข้อมูลจริงในตาราง (เช่น ข้อมูลลูกค้าแต่ละคน) ซึ่งไม่น่าจะถูกต้องในบริบทนี้ เพราะ A ควรเป็นโครงสร้างตาราง
    • Relationships หมายถึงความสัมพันธ์ ซึ่งน่าจะหมายถึงโครงสร้างตารางที่เก็บความสัมพันธ์ (เหมาะสมกว่า)
  • B: ระบุว่าเป็น “ผส-กข” (น่าจะหมายถึง ผังสถานะ-กระบวนการ เช่น state-process diagram) หรือ “flowchart”
    • ผส-กข และ flowchart เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์หรือออกแบบกระบวนการ ไม่ใช่ entities ในฐานข้อมูล (ไม่เหมาะสม)
  • C: ระบุว่าเป็น “ผก” (น่าจะหมายถึง ผังกระบวนการ) หรือ “กราฟ”
    • ผก และกราฟ ก็ไม่ใช่ entities ในฐานข้อมูลเช่นกัน

ขั้นตอนที่ 4: ตีความและเลือกคำตอบ

  • จากโจทย์ ตาราง B ควรเป็น entities ที่เก็บความสัมพันธ์ระหว่าง A และ C
  • คำว่า “entities” ในที่นี้ หมายถึงตารางที่เก็บข้อมูลความสัมพันธ์ (relationships) ดังนั้น A และ C ควรเป็น “relationships” (โครงสร้างตารางที่เก็บความสัมพันธ์)
  • แต่ตัวเลือกของ B (ผส-กข, flowchart) ไม่สอดคล้องกับคำว่า entities เพราะทั้งสองเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ ไม่ใช่ตาราง

อย่างไรก็ตาม หากตีความว่าโจทย์อาจมีข้อผิดพลาดในตัวเลือก:

  • ตัวเลือกที่ใกล้เคียงที่สุดคือตัวเลือกที่ A และ C เป็น “relationships” เพราะสอดคล้องกับคำว่า “target business operation” และ B เป็น entities
  • ตัวเลือก c) relationships, ผส-กข, ผก และ d) relationships, flowchart, ผก มี A เป็น relationships ซึ่งถูกต้อง
  • แต่ B ควรเป็น “relationships” หรือ “entity” ไม่ใช่ flowchart หรือ ผส-กข

คำตอบสุดท้าย:

จากตัวเลือกที่มี ตัวเลือกที่ใกล้เคียงที่สุดคือ c) relationships, ผส-กข, ผก ค่ะ
(หมายเหตุ: ตัวเลือก B อาจมีข้อผิดพลาดในโจทย์ เพราะควรเป็น “relationships” หรือ “entity” ไม่ใช่ flowchart หรือ ผส-กข)


คำถาม:
จับคู่การทำงานในฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ (Relational Operation)

  • I ดึงข้อมูลขึ้นมาจาก คอลัมน์ (เขตข้อมูล)
  • II ดึงข้อมูลขึ้นมาจาก แถว (ระเบียน)
  • III นำข้อมูลจากหลายตารางมารวมให้เป็นตารางเดียว

ความหมายของคำ:

  • Projection = เลือก “คอลัมน์” ที่ต้องการดึงออกมา
    → เหมาะกับ I
  • Selection = เลือก “แถว” ที่ตรงตามเงื่อนไข
    → เหมาะกับ II
  • Join = รวมข้อมูลจาก “หลายตาราง” เข้าด้วยกัน
    → เหมาะกับ III

ดังนั้น:

หมายเลข การทำงานที่ตรงกัน
I Projection
II Selection
III Join

เทียบกับตัวเลือก:

  • a) Join - Projection - Selection :x:
  • b) Projection - Join - Selection :x:
  • c) Projection - Selection - Join :white_check_mark:
  • d) Selection - Projection - Join :x:

:white_check_mark: คำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ c) Projection - Selection - Join


คำถาม:
การ commit ในการประมวลผลทรานแซคชัน (transaction) คืออะไร?


วิเคราะห์ตัวเลือก:

  • a)
    → กล่าวถึงการ “ปิดกั้น” ข้อมูลร่วมกัน (locking)
    :x: ไม่ใช่ความหมายของ commit (อันนี้ใกล้เคียงเรื่อง concurrency control)
  • b)
    → ถูกต้องที่สุด :white_check_mark:
    Commit คือ “เมื่อประมวลผลสำเร็จตามปกติ” → ทำการ ยืนยัน การเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ฐานข้อมูลจริง
  • c)
    → พูดถึงการ rollback ซึ่งเป็นสิ่งตรงข้ามกับ commit (rollback = ยกเลิก)
    :x: ไม่ใช่การ commit
  • d)
    → กล่าวถึงการรวมตาราง → ไม่เกี่ยวกับการ commit โดยตรง
    :x:

สรุป:

  • Commit = ยืนยันการเปลี่ยนแปลง (เมื่อ transaction สำเร็จ)

:white_check_mark: คำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ b) ถูกใช้เมื่อทรานแซคชันได้รับการประมวลผลสำเร็จตามปกติ และการปรับปรุงได้รับการยืนยันในฐานข้อมูล :white_check_mark:


คำถาม:
กรณีส่งอีเมลไป “หลายราย” แต่ ไม่อยากให้ผู้รับเห็นอีเมลของคนอื่น ควรใส่อีเมลในช่องใด?


วิเคราะห์ตัวเลือก:

  • a) Bcc :white_check_mark:
    Bcc (Blind Carbon Copy) = ผู้รับ จะไม่เห็นอีเมลของคนอื่น
    → ใช้กรณีที่ต้องการปิดบังข้อมูลผู้รับ
  • b) Cc
    Cc (Carbon Copy) = ส่งสำเนาให้ทุกคน และทุกคน เห็นอีเมลกันและกัน
    :x: ไม่ตรงกับโจทย์
  • c) To
    To = ผู้รับหลัก
    → ทุกคนเห็นรายชื่อกันหมด :x:
  • d) ทั้ง To และ Bcc
    :x: ไม่จำเป็นต้องใส่ทั้งสองช่องตามโจทย์
    (โจทย์เน้นว่า ไม่ควรให้เห็นอีเมลคนอื่น)

:white_check_mark: คำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ a) Bcc


คำถาม:
ข้อใด “ไม่ถูกต้อง” เกี่ยวกับหน่วยเก็บข้อมูลออนไลน์ (Online Storage)


วิเคราะห์ตัวเลือก:

  • a)
    → บอกว่าใช้งานได้จากหลายอุปกรณ์ (คอมพิวเตอร์, สมาร์ตโฟน, แท็บเล็ต) เชื่อมอินเทอร์เน็ต
    :white_check_mark: ถูกต้อง (ข้อมูลจริง)
  • b)
    → มีการเข้ารหัสเพื่อป้องกันข้อมูล และมีความปลอดภัย
    :white_check_mark: ถูกต้อง (ระบบ online storage ส่วนใหญ่ทำแบบนี้ เช่น Google Drive, OneDrive)
  • c)
    → พูดถึงการอนุญาตให้ผู้อื่นเข้าถึงไฟล์ แก้ไขไฟล์ร่วมกัน
    :white_check_mark: ถูกต้อง (คือการแชร์ไฟล์ร่วมกับคนอื่น เช่น Google Drive ก็ทำได้)
  • d)
    → กล่าวว่า หน่วยเก็บข้อมูลออนไลน์จะเพิ่มขึ้นโดยอัตโนมัติ เมื่อใช้งานจนเต็ม
    :x: ไม่ถูกต้อง
    → ความจุจะไม่เพิ่มอัตโนมัติ ต้องเสียเงินซื้อเพิ่มเอง เช่น ซื้อแพ็กเกจเพิ่มใน Google Drive, iCloud

:white_check_mark: ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ d) หากเพิ่มความจุให้หน่วยเก็บข้อมูลออนไลน์ได้เองอัตโนมัติ


คำถาม:
ตัวอย่างความเสียหายจากการขโมยคุกกี้ (โดย Cross Site Scripting Attack - XSS หรือการโจมตีอื่น ๆ)


วิเคราะห์ตัวเลือก:

  • a) เครื่องพีซีติดไวรัส
    → ไวรัสคือการติดมัลแวร์ ไม่ตรงกับการขโมยคุกกี้ :x:
  • b) ไฟล์บนเครื่องพีซีถูกส่งไปยังปลายทางภายนอก
    → เป็นการขโมยข้อมูลไฟล์โดยตรง (เช่น Trojan) ไม่เกี่ยวกับการขโมยคุกกี้ :x:
  • c) ถูกยึดครอง (hijack) บัญชีเว็บเซอร์วิส :white_check_mark:
    → ใช่เลย!
    → เพราะ คุกกี้ มักเก็บข้อมูลการล็อกอิน เช่น session token
    → ถ้าคุกกี้ถูกขโมย = คนร้ายสามารถ “สวมรอย” เป็นเจ้าของบัญชีได้
  • d) เกิดการบุกรุกเข้าสู่เครือข่ายผ่านแลนไร้สาย
    → เป็นเรื่องของเครือข่ายไร้สาย ไม่ใช่ขโมยคุกกี้ :x:

:white_check_mark: คำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ c) ถูกยึดครอง (hijack) บัญชีเว็บเซอร์วิส


โจทย์สรุปว่า:

  • การเชื่อมต่ออุปกรณ์ IoT จำนวนมาก → ต้องการ IP จำนวนมาก
  • ต้องใช้ โปรโตคอลที่ IP ยาว 128 บิต

คำอธิบาย:

  • IPv4 → ความยาว 32 บิต (มีประมาณ 4 พันล้านหมายเลข IP)
  • IPv5 → ไม่มีใช้งานจริง (เป็นโปรโตคอลทดลอง)
  • IPv6 → ความยาว 128 บิต (รองรับอุปกรณ์จำนวนมหาศาล เช่น IoT)
  • IPv8 → ไม่มีอยู่จริง

:white_check_mark: ดังนั้น คำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ c) IPv6


โจทย์สรุปว่า:
ถามหา นิยามของการโจมตีแบบ Zero-Day Attack
(คือการโจมตีที่ช่องโหว่ถูกค้นพบ แต่ยัง ไม่มีแพตช์หรือการป้องกัน)


วิเคราะห์ตัวเลือก:

  • a)
    → พูดถึงการโจมตีให้ระบบหยุดทำงานภายใน 24 ชั่วโมง
    :x: ไม่เกี่ยวกับ Zero-Day Attack (ใกล้กับ DoS Attack มากกว่า)
  • b)
    → พูดถึงการทำไวรัสแสดงอาการทันที
    :x: ไม่ตรงประเด็น Zero-Day (อันนี้ใกล้เคียงไวรัสปกติ)
  • c) :white_check_mark:
    → ตรงที่สุด!
    → Zero-Day Attack คือการ โจมตีช่องโหว่ที่ยังไม่มีการตอบโต้หรือแพตช์แก้ไข
    → เพราะผู้พัฒนายังไม่รู้หรือยังไม่ทันแก้ไข จึง เสี่ยงมาก
  • d)
    → พูดถึง Social Engineering
    :x: ไม่ตรงกับ Zero-Day Attack

:white_check_mark: คำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ c) คือการโจมตีโดยอาศัยช่องโหว่ที่ยังไม่มีการตอบโต้เพื่อป้องกันช่องโหว่นั้น ๆ จะถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ