เตรียมสอบ ITPE -ข้อสอบเก่าปี 2024


โจทย์สรุปว่า:
ถามว่า ข้อใดเป็นตัวอย่างของการ “หลีกเลี่ยงความเสี่ยง” (Risk Avoidance)
(คือ หลีกเลี่ยงไม่ทำ สิ่งที่จะทำให้เกิดความเสี่ยงตั้งแต่แรก)


วิเคราะห์ตัวเลือก:

  • a)
    → การใช้มาตรการลดความเสี่ยง → เป็น Risk Reduction
    :x: ไม่ใช่การหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
  • b)
    → การทำประกันภัย → เป็น Risk Transfer (โอนความเสี่ยงไปที่บริษัทประกัน)
    :x: ไม่ใช่ Risk Avoidance
  • c)
    → การยอมรับความเสี่ยงเพราะเล็กน้อย → เป็น Risk Acceptance
    :x: ไม่ใช่ Risk Avoidance
  • d) :white_check_mark:
    → การ “ยกเลิกการให้บริการ” เพราะมันเสี่ยงเกินไป
    → คือ การหลีกเลี่ยงความเสี่ยง = Risk Avoidance
    (ตัดสินใจไม่ทำตั้งแต่ต้น เพื่อไม่เสี่ยง)

:white_check_mark: คำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ d) การที่บริษัทถอนตัวจากการให้บริการที่มีความเสี่ยงสูง


โจทย์สรุปว่า:
ถามว่า ส่วนแรกของ URL ที่บอกว่ามีการใช้ TLS (Transport Layer Security) คืออะไร


วิเคราะห์ตัวเลือก:

  • a) http://
    → เป็น HTTP ธรรมดา ไม่มีการเข้ารหัส :x:
  • b) https://
    HTTPS = HTTP + TLS/SSL
    → ใช้การเข้ารหัสผ่าน TLS/SSL เพื่อความปลอดภัย :white_check_mark:
  • c) shttp://
    → ไม่มีโปรโตคอลนี้ในมาตรฐานปัจจุบัน :x:
  • d) ssl://
    → ssl:// ใช้ในบางโปรโตคอลเฉพาะ เช่น FTP Secure แต่ ไม่ใช่ การเข้าถึงเว็บปกติ :x:

:white_check_mark: ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ b) https://


โจทย์สรุปว่า:
ถามว่า เทคนิคใดใช้เพื่อตรวจสอบว่าข้อมูลที่ได้รับมาถูกปลอมแปลงหรือไม่


วิเคราะห์ตัวเลือก:

  • a) การบีบอัด (compression)
    → บีบขนาดข้อมูลให้เล็กลง
    :x: ไม่เกี่ยวกับการตรวจสอบความถูกต้อง
  • b) ลายเซ็นดิจิทัล (digital signature)
    → ใช้ตรวจสอบได้ว่า ข้อมูลถูกต้อง ไม่ถูกปลอมแปลง และ ยืนยันตัวตนผู้ส่ง :white_check_mark:
    ตรงที่สุด
  • c) การพิสูจน์ตัวจริงด้วยรหัสผ่าน (password authentication)
    → ใช้ยืนยันตัวตนของผู้ใช้ แต่ ไม่ตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูล :x:
  • d) การใช้ตัวกรอง (filtering)
    → ใช้คัดกรองข้อมูล เช่น anti-spam หรือ firewall
    :x: ไม่ได้ตรวจสอบการปลอมแปลงข้อมูล

:white_check_mark: สรุปคำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ b) ลายเซ็นดิจิทัล (digital signature)


โจทย์สรุปว่า:
ถามว่าข้อใด “เป็นมาตรการป้องกันไวรัส” (ทั้งหมด)


วิเคราะห์ตัวเลือก I - III:

  • I) การติดตั้งแพทช์ด้านความมั่นคงให้กับซอฟต์แวร์
    :white_check_mark: ปิดช่องโหว่ ไม่ให้ไวรัสเจาะระบบ
    → เป็นมาตรการป้องกันไวรัส
  • II) การแบ่งข้อมูลกระจายลงฮาร์ดดิสก์หลายตัว
    :x: เกี่ยวกับความทนทานของข้อมูล (redundancy เช่น RAID)
    → ไม่ใช่การป้องกันไวรัสโดยตรง
  • III) การให้ความรู้ด้านความมั่นคงกับผู้ใช้
    :white_check_mark: ป้องกันผู้ใช้ไม่เผลอเปิดไฟล์ติดไวรัส เช่น ไม่คลิกลิงก์ต้องสงสัย
    → เป็นมาตรการป้องกันไวรัส

สรุป:

  • I = ถูก
  • II = ผิด
  • III = ถูก

ดังนั้นรายการที่ ถูกต้อง คือ I และ III


:white_check_mark: คำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ c) I, III


โจทย์สรุปว่า:
ถามว่า ข้อใดเป็นตัวอย่างของการฟิชชิง (Phishing)
(การหลอกลวงผู้ใช้ให้เปิดเผยข้อมูล เช่น รหัสผ่าน)


วิเคราะห์ตัวเลือก:

  • a)
    → พูดถึงการโจมตีผ่านเครือข่ายด้วยไวรัส
    :x: เป็นการโจมตีแบบไวรัสหรือ malware ไม่ใช่ phishing
  • b) :white_check_mark:
    → ส่งอีเมลปลอม หลอกว่าเป็นธนาคาร แล้วหลอกให้กรอกข้อมูลบนเว็บปลอม
    :white_check_mark: ตรงกับลักษณะของ Phishing
  • c)
    → การหากุญแจรหัสผ่านด้วยการวิเคราะห์ข้อมูล (เช่น Keylogger หรือ Password Cracking)
    :x: เป็นการเจาะรหัส ไม่ใช่ phishing
  • d)
    → การส่ง packet จำนวนมาก (DDoS Attack) เพื่อทำให้ระบบล่ม
    :x: เป็นการโจมตีแบบ DDoS ไม่ใช่ phishing

:white_check_mark: คำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ b) การส่งอีเมลเพื่อแสร้งเป็นสถาบันการเงิน และหลอกให้ผู้ใช้เข้าเว็บปลอมเพื่อขโมยรหัสผ่าน


โจทย์สรุปว่า:
ถามหา เทคโนโลยีตรวจจับพฤติกรรม (behavior detection technology) เพื่อ ป้องกันภัยที่ยังไม่รู้จัก (เช่น Zero-Day Attack)


วิเคราะห์ตัวเลือก:

  • a)
    → พูดถึงการลดความสว่างหน้าจอ ปิดการแสดงผลอัตโนมัติ
    :x: เป็นการประหยัดพลังงาน ไม่เกี่ยวกับการป้องกันภัยคุกคาม
  • b)
    → การล็อกบัญชีหลังจากพบการพยายามป้อนรหัสผิดหลายครั้ง
    :x: เป็นการตั้งนโยบายความปลอดภัยทั่วไป ไม่ใช่ตรวจจับพฤติกรรมขั้นสูง
  • c) :white_check_mark:
    การติดตามกิจกรรมของโปรแกรมและหยุดโปรแกรมที่มีพฤติกรรมสงสัย
    :white_check_mark: ตรงกับแนวคิด behavior-based detection
    → เหมาะกับการป้องกันภัยใหม่ ๆ เช่น Zero-Day Attack ที่ไม่มีลายเซ็นตายตัว
  • d)
    → พูดถึงการแสดงข้อความเตือนที่ไม่ปลอดภัย
    :x: เป็นแค่การเตือนผู้ใช้ ไม่ได้ “ตรวจจับ” พฤติกรรมที่ผิดปกติ

:white_check_mark: สรุปคำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ c) การติดตามดูพฤติกรรมของโปรแกรมต่าง ๆ และหยุดการทำงานของโปรแกรมที่มีพฤติกรรมน่าสงสัย


โจทย์สรุปว่า:
ถามหา ลักษณะของระบบ Single Sign-On (SSO)
(คือ ล็อกอินครั้งเดียว แล้วใช้ได้หลายระบบ โดยไม่ต้องยืนยันตัวตนซ้ำ)


วิเคราะห์ตัวเลือก:

  • a)
    → พูดถึงการไหลของข้อมูลและการจัดเก็บข้อมูล
    :x: ไม่เกี่ยวกับ Single Sign-On โดยตรง
  • b)
    → พูดถึงความพร้อมใช้งานสูง (High Availability)
    :x: ไม่ตรงกับประเด็น Single Sign-On โดยตรง
  • c)
    → พูดถึงการเพิ่มความลับในการพิสูจน์ตัวตนหลายชั้น
    :x: นี่คือ Multi-Factor Authentication (MFA) ไม่ใช่ SSO
  • d) :white_check_mark:
    → อธิบายได้ตรงที่สุด!
    → “หลังจากพิสูจน์ตัวจริงได้ครั้งเดียวแล้ว ผู้ใช้สามารถเข้าบริการต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องยืนยันซ้ำ”
    → ตรงกับหลักการของ Single Sign-On

:white_check_mark: คำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ d) เป็นการเพิ่มความสะดวกเนื่องจากผู้ใช้ได้รับการพิสูจน์ตัวจริงแล้ว เขาสามารถเข้าใช้บริการที่หลากหลายได้โดยไม่ต้องพิสูจน์ตัวจริงซ้ำอีกครั้ง


โจทย์สรุปว่า:
ถามว่า เมื่อโจมตีคอมพิวเตอร์ได้แล้ว แล้วตั้งค่าเปลี่ยนโปรแกรมเพื่อ แอบกลับเข้ามาได้ง่ายขึ้นในอนาคต → วิธีนี้เรียกว่าอะไร


วิเคราะห์ตัวเลือก:

  • a) การดักฟัง (Tapping)
    → คือการแอบดักฟังข้อมูลที่ส่งผ่านเครือข่าย เช่น Packet Sniffing
    :x: ไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงระบบเพื่อกลับเข้ามา
  • b) ประตูหลัง (Backdoor)
    :white_check_mark: ตรงที่สุด!
    → Backdoor = การตั้งช่องลับ ให้แอบกลับเข้ามาในระบบภายหลังโดยไม่ต้องผ่านระบบปกติ เช่น ไม่ต้องล็อกอินใหม่
    → ตรงกับการ “เปลี่ยนแปลงโปรแกรมหรือระบบ” ที่โจทย์พูดถึง
  • c) ฟิชชิง (Phishing)
    → คือการหลอกผู้ใช้ให้เปิดเผยข้อมูล เช่น รหัสผ่าน
    :x: ไม่ใช่การตั้งช่องทางกลับเข้ามา
  • d) การสแกนพอร์ต (Port scan)
    → คือการสแกนหาเลขพอร์ตที่เปิดในเครื่องเป้าหมาย
    :x: เป็นขั้นตอนก่อนโจมตี ไม่ใช่การตั้งช่องทางลับหลังโจมตีสำเร็จแล้ว

:white_check_mark: ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ b) ประตูหลัง (Backdoor)


โจทย์สรุปว่า:
ถามว่า ข้อใดเกี่ยวกับการออกแบบระบบที่ทำงานได้ต่อเนื่อง ไม่หยุดทำงาน (non-stop system)


วิเคราะห์ตัวเลือก:

  • a) การแบ่งซอฟต์แวร์ออกเป็นส่วนย่อย ๆ
    → เป็นแนวคิด modularization เพื่อการพัฒนาง่าย แต่ ไม่เกี่ยวกับความต่อเนื่องของการทำงาน :x:
  • b) การเข้ารหัสลับข้อมูล
    → เป็นมาตรการป้องกันข้อมูล ไม่เกี่ยวกับ non-stop operation :x:
  • c) การลดการใช้พลังงานของฮาร์ดแวร์
    → เกี่ยวกับการประหยัดพลังงาน ไม่เกี่ยวกับระบบทำงานต่อเนื่อง :x:
  • d) การนำฮาร์ดแวร์มาใช้คู่กันแบบซ้ำซ้อน :white_check_mark:
    → ถูกต้องที่สุด!
    → เช่น การใช้ ระบบสำรอง (Redundant Systems) หรือ Cluster แบบ High Availability
    → ถ้าเครื่องหลักเสีย เครื่องสำรองทำงานต่อได้ทันที → ระบบไม่หยุด

:white_check_mark: ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ d) การนำฮาร์ดแวร์มาใช้คู่กันแบบซ้ำซ้อน


โจทย์สรุปว่า:

  • หลังจาก ออกแบบซอฟต์แวร์และจัดทำเอกสารการออกแบบละเอียดเรียบร้อยแล้ว
  • ใครคือ บุคคลที่จะรับผิดชอบ ดำเนินการต่อไปในกระบวนการพัฒนาระบบ?

วิเคราะห์ตัวเลือก:

  • a) ผู้ตรวจสอบระบบ (system auditor)
    → มีหน้าที่ตรวจสอบความถูกต้องภายหลัง
    :x: ยังไม่ใช่คนที่ทำพัฒนาต่อทันทีหลังได้เอกสาร
  • b) ผู้รับผิดชอบในการทำงานของระบบ (system operator in-charge)
    → ดูแลการปฏิบัติการของระบบตอนระบบทำงานแล้ว
    :x: ยังไม่ใช่ในช่วงพัฒนา
  • c) ผู้ใช้งานระบบ (system user)
    → ใช้ระบบหลังพัฒนาเสร็จ
    :x: ไม่ใช่คนพัฒนาระบบ
  • d) โปรแกรมเมอร์ (programmer) :white_check_mark:
    ใช่ที่สุด!
    → เมื่อได้เอกสารออกแบบระบบที่ละเอียดแล้ว โปรแกรมเมอร์ จะนำไปเขียนโค้ด (coding) และพัฒนาต่อจากนั้น

:white_check_mark: ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ d) โปรแกรมเมอร์ (programmer)


โจทย์สรุปว่า:

  • นาย A เป็น โปรแกรมเมอร์
  • กำลัง วิเคราะห์และทวนสอบโครงสร้างภายในของโปรแกรม
  • เพื่อตรวจสอบว่าข้อมูลที่ป้อนเข้าถูกประมวลผลตามที่คาดไว้ไหม

วิเคราะห์ตัวเลือก:

  • a) การทดสอบระบบ (System test)
    → ทดสอบการทำงานของระบบทั้งหมดแบบ End-to-End
    :x: ระดับนี้สูงเกินไป ไม่ใช่แค่โครงสร้างภายใน
  • b) การทดสอบบนลงล่าง (Top-down test)
    → เป็นการทดสอบตามโครงสร้างโปรแกรมจากบนลงล่าง แต่ไม่ได้เน้นวิเคราะห์โครงสร้างภายในโดยตรง
    :x: ไม่ตรงกับสิ่งที่ A กำลังทำ
  • c) การทดสอบกล่องดำ (Black box test)
    → ทดสอบโดยไม่ดูโครงสร้างภายใน (ดูแค่ input/output)
    :x: ตรงข้ามกับสิ่งที่โจทย์บอก (A ดูโครงสร้างภายในอยู่)
  • d) การทดสอบกล่องขาว (White box test) :white_check_mark:
    → ทดสอบโดย มองเห็นโครงสร้างภายใน เช่น วิเคราะห์โค้ด, ตรวจสอบ logic การทำงาน
    :white_check_mark: ตรงกับสิ่งที่นาย A กำลังทำอยู่

:white_check_mark: ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ d) การทดสอบกล่องขาว (White box test)


โจทย์สรุปว่า:
ถามว่า คำไหนเหมาะสมที่สุด กับแนวคิดที่เน้น

  • “การทำงานร่วมกันระหว่างฝ่ายพัฒนาและฝ่ายปฏิบัติการ”
  • “เชิงธุรกิจ”
  • “อัตโนมัติ”
  • “ส่งงานเป็นรอบ ๆ ออกฟังก์ชันใหม่ ๆ เรื่อย ๆ”

วิเคราะห์ตัวเลือก:

  • a) DevOps :white_check_mark:
    ตรงที่สุด!
    → DevOps = การรวม Development (Dev) + Operations (Ops)
    → เพื่อทำให้การพัฒนาระบบและการส่งมอบระบบ ทำได้อย่างต่อเนื่อง (Continuous Integration/Continuous Delivery - CI/CD)
    → มีการ อัตโนมัติ, ทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด
  • b) RAD (Rapid Application Development)
    → เน้นพัฒนาเร็ว ๆ และใช้ต้นแบบ แต่ไม่ได้เน้นทำงานร่วมกับฝ่ายปฏิบัติการ :x:
  • c) การพัฒนาเชิงวัตถุ (Object-Oriented Development)
    → เป็นแนวคิดเชิงการออกแบบซอฟต์แวร์ ไม่เกี่ยวกับการทำงานร่วมกันระหว่างทีม :x:
  • d) การพัฒนาที่ขับเคลื่อนด้วยการทดสอบ (Test-Driven Development - TDD)
    → เน้นเขียนเทสต์ก่อนโค้ด แต่ไม่เกี่ยวกับการทำงานร่วมกันระหว่างฝ่ายพัฒนา-ปฏิบัติการ :x:

:white_check_mark: ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ a) DevOps


โจทย์สรุปว่า:
ถามหา ข้อใดที่อธิบายเกี่ยวกับ “การจัดการขอบเขตโครงการ (Project Scope Management)” ได้อย่างเหมาะสม


วิเคราะห์ตัวเลือก:

  • a) :white_check_mark:
    → พูดถึงการกำหนด สิ่งที่ต้องส่งมอบ (deliverables) เช่น ผลิตภัณฑ์ บริการ กิจกรรม
    → และ ควบคุมว่าโครงการทำเฉพาะสิ่งที่กำหนดในขอบเขต
    ตรงที่สุดกับ Project Scope Management!
  • b)
    → พูดถึงการจัดการ เส้นทางกิจกรรม (activity path) หรือเส้นทางวิกฤต (Critical Path)
    :x: เป็นเรื่องของ การจัดการเวลาโครงการ (Project Time Management) ไม่ใช่ขอบเขต
  • c)
    → พูดถึงการจัดการเหตุการณ์หรือความเสี่ยง (risk management)
    :x: เป็นเรื่องของ การบริหารความเสี่ยง (Risk Management)
  • d)
    → พูดถึงการประสานงานผู้เกี่ยวข้อง (Stakeholder Communication)
    :x: เป็นเรื่องของ การสื่อสารโครงการ (Project Communication Management)

:white_check_mark: สรุปคำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ a) คือการกำหนดและการจัดการรายการสิ่งที่ต้องส่งมอบ (deliverables)

โจทย์สรุปว่า:
ถามหา ข้อใดที่อธิบาย “โมเดลน้ำตก (Waterfall Model)” ได้เหมาะสมที่สุด


วิเคราะห์ตัวเลือก:

  • a)
    → พูดถึง การพัฒนาเชิงวัตถุ (Object-Oriented) และการปรับปรุงซ้ำ
    :x: ไม่ใช่ Waterfall (Waterfall เน้นไหลทีละขั้นแบบต่อเนื่อง ไม่ใช่ยืดหยุ่นแบบเชิงวัตถุ)
  • b)
    → พูดถึงการพัฒนาโดยแบ่งย่อยระบบและทำแบบยืดหยุ่น
    :x: ลักษณะนี้ใกล้เคียงกับ Incremental Model หรือ Agile มากกว่า ไม่ใช่ Waterfall
  • c) :white_check_mark:
    → พูดถึง การพัฒนาเป็นขั้นตอนต่อเนื่อง (Sequential)
    → ใช้ ผลลัพธ์จากขั้นก่อนหน้าเป็นข้อมูลสำหรับขั้นถัดไป
    :white_check_mark: ตรงที่สุดกับแนวคิด Waterfall Model
  • d)
    → พูดถึงการสร้างต้นแบบและการเก็บความคิดเห็นจากผู้ใช้
    :x: ใกล้เคียง Prototype Model ไม่ใช่ Waterfall

:white_check_mark: ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ c) เป็นเทคนิคที่แบ่งกระบวนการของการพัฒนาระบบเป็นขั้นตอน และใช้ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นจากกระบวนการก่อนหน้าเป็นพื้นฐานในการดำเนินการกระบวนการถัด ๆ ไปตามลำดับ

โจทย์สรุปว่า:
ถามว่า ตัววัดไหนเหมาะสมที่สุดสำหรับการวัด “คุณภาพ” ของโปรแกรม ในโครงการพัฒนาซอฟต์แวร์


วิเคราะห์ตัวเลือก:

  • a) งบประมาณที่กำหนดขณะวางแผน
    → ใช้วัดด้านการเงินและการวางแผน
    :x: ไม่ใช่ตัววัดคุณภาพของโปรแกรมโดยตรง
  • b) ผลตอบแทนจากการลงทุน (ROI)
    → ใช้วัดด้านเศรษฐศาสตร์ของโครงการ (เงินลงทุน เทียบกับกำไร)
    :x: ไม่ได้วัดคุณภาพซอฟต์แวร์
  • c) วันที่ส่งมอบงาน
    → ใช้วัดความตรงต่อเวลา (Schedule Adherence)
    :x: ไม่ได้วัดคุณภาพของตัวโปรแกรม
  • d) จำนวนบักที่ตรวจพบ :white_check_mark:
    → ถูกต้องที่สุด!
    → จำนวนบั๊กที่พบ (Defect Count) = ตัวชี้วัดคุณภาพโดยตรงของโปรแกรม
    → ถ้ามีบั๊กเยอะ = คุณภาพแย่, ถ้ามีน้อย = คุณภาพดี

:white_check_mark: ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ d) จำนวนบักที่ตรวจพบ


โจทย์สรุปว่า:

  • โครงการทำไปแล้ว เกินครึ่งทาง (halfway mark)
  • ลูกค้า ขอเพิ่มฟังก์ชัน ใหม่ขึ้นมาอีก
  • ถามว่า ผู้จัดการโครงการควรทำอย่างไรดีที่สุด

วิเคราะห์ตัวเลือก:

  • a) ยอมรับคำขอแล้วจัดเตรียมงบประมาณและบุคลากร
    :x: ไม่ควรรับทันที เพราะการเปลี่ยนแปลงกลางทางต้องประเมินผลกระทบอย่างระมัดระวังก่อน
  • b) ปฏิเสธโดยอัตโนมัติว่าไม่รับการเปลี่ยนแปลงหลังครึ่งทาง
    :x: การปฏิเสธอัตโนมัติโดยไม่พิจารณา เป็นการบริหารที่ไม่ยืดหยุ่น
  • c) แจ้งกระบวนการที่ต้องดำเนินการ และดำเนินการตามขั้นตอนการจัดการการเปลี่ยนแปลง (Change Management) :white_check_mark:
    :white_check_mark: ตรงที่สุด!
    → เพราะเมื่อมีคำขอเปลี่ยนแปลง ต้อง ดำเนินกระบวนการ Change Management เช่น
    • ประเมินผลกระทบ
    • ขออนุมัติ
    • ปรับแผนโครงการถ้าจำเป็น
  • d) รับปรับปรุงเส้นพื้นฐาน (Baseline) ทันที
    :x: ไม่ควรรีบเปลี่ยน baseline ก่อนประเมินผลกระทบและผ่านขั้นตอนการอนุมัติ

:white_check_mark: ดังนั้นคำตอบที่ถูกต้องคือ:

ข้อ c) แจ้งกระบวนการที่ยังคงต้องดำเนินการและดำเนินการตามขั้นตอนการจัดการการเปลี่ยนแปลง (change management)

คำตอบที่ถูกต้องคือ ง) คือแผนงานที่รวบรวมรายการสิ่งที่ต้องส่งมอบ (deliverable) และกิจกรรมหลักต่าง ๆ ของทั้งโครงการเอาไว้ด้วยกัน

เหตุผล:

กำหนดการหลัก (Master Schedule) ในโครงการพัฒนาระบบคือแผนระดับสูงที่สรุปรายการส่งมอบที่สำคัญ (deliverables) และกิจกรรมหลักๆ ทั้งหมดของโครงการ โดยจะแสดงให้เห็นถึงภาพรวมของระยะเวลาและลำดับการดำเนินงานของโครงการ